ประวัติความเป็นมาของบริษัท

บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) (เดิมชื่อ บริษัท อั่งเปา แอสเสท จำกัด (มหาชน), บริษัท ไทยเกรียงกรุ๊ป จำกัด (มหาชน)) จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2503 เพื่อดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งทอ โดยเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2535 หุ้นสามัญของบริษัทฯ ได้เข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (“ตลาดหลักทรัพย์ฯ”) และได้แปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนในปี 2537

เนื่องจากผลขาดทุนในช่วงปี 2536-2540 ส่งผลทำให้ในปี 2541 บริษัทฯ ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์ฯ เรื่องการเข้าเกณฑ์อาจถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และตลาดหลักทรัพย์ฯ มีคำสั่งเปลี่ยนหมวดการซื้อขายหุ้นสามัญของบริษัทฯ จากหมวดสิ่งทอ เป็นหมวดบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ระหว่างแก้ไขดำเนินการ (REHABCO) ต่อมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการแก้ไขตามแผนการแก้ไขให้พ้นเหตุเพิกถอนดังกล่าวตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงอนุมัติให้หุ้นสามัญของบริษัทฯ เปิดทำการซื้อขายในหมวด REHABCO อีกครัง้ ในเดือนเมษายน 2546

จากการเปิดการค้าเสรี รวมถึงการยกเลิกระบบการจัดสรรโควต้าสิ่งทอในต้นปี 2548 ทำให้ภาวการณ์แข่งขันในตลาดการค้ารุนแรงอย่างมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่งผลให้ราคาขายของสินค้าสิ่งทอลดลง และทำให้บริษัทฯ ต้องประสบกับภาวะขาดทุน และมีปัญหาขาดสภาพคล่องทางการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงสั่งห้ามซื้อขายหุ้นของบริษัทฯ จนกว่าจะพ้นเหตุเพิกถอนและย้ายกลับหมวดปกติ และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2549 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ยกเลิกหมวด REHABCO และย้ายบริษัทฯ ไปอยู่ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่แก้ไขการดำเนินงานไม่ได้ตามกำหนด (Non-Performing Group)

จากการที่บริษัทฯ ได้ยุติการประกอบธุรกิจด้านสิ่งทอ ในปี 2549 โดยหยุดการผลิตในส่วนโรงปั่นด้ายและโรงทอในเดือนกุมภาพันธ์ 2549 และหยุดการผลิตในส่วนของแผนกการ์เม้นท์ทั้งหมดในเดือนมิถุนายน 2549 เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2549 ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แจ้งเพิ่มเหตุเข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนอีกเหตุหนึ่ง เนื่องด้วยบริษัทฯ มีการหยุดประกอบกิจการเกือบทั้งหมด และสินทรัพย์ที่ใช้ในดำเนินงานของบริษัทฯ ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

ภายหลังจากการหยุดกิจการสิ่งทอ บริษัทฯ มีโครงการที่จะดำเนินธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยในปี 2551 บริษัทฯ พยายามปรับปรุงโครงสร้างหนีกั้บสถาบันการเงิน 2 แห่ง และในที่สุดก็ประสบความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้และมีกำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้บริษัทฯ จึงได้เริ่มประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ โดยการเป็นนายหน้าขายห้องชุดและมีรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายคอนโดมิเนียม ปี 2552 บริษัทได้ประกอบธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์อย่างจริงจังโดยเข้าไปลงทุนซื้อห้องชุดคอนโดมิเนียม และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อขาย โดยบริษัทฯ เข้าซื้อทรัพย์สินจาก บริษัท ณุศาศิริ แกรนด์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เคเอ็มพี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จากกลุ่ม ณุศาศิริ เป็นทรัพย์สินโครงการอสังหาริมทรัพย์รวม 5 โครงการ ในมูลค่ารวมไม่เกิน 2,490.00 ล้านบาท เพื่อเป็นทรัพย์สินในการดำเนินธุรกิจ และดำเนินการบริหารต่อ โดยบริษัทฯ ได้เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า “ณุศาศิริ” ซึ่งเป็นแบรนด์เดิมที่มีชื่อเสียงในกลุ่มลูกค้าระดับบนอยู่แล้ว และบริษัทฯ ยังได้รับสิทธิให้ใช้เครื่องหมายบริการ “บ้านกฤษณา” ในโครงการบ้านกฤษณา-พระราม 5 ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักพอสมควร สินทรัพย์ที่ซื้อมา ตามมติที่ประชุมผู้ถือหุ้นของ บริษัทฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 เพื่อเป็นทรัพย์สินในการดำเนินธุรกิจและทำให้บริษัทฯ มีผลประกอบการกำไร เพื่อแก้ไขเหตุแห่งการถูกเพิกถอนหลักทรัพย์ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ สินทรัพย์ที่ซื้อมาประกอบด้วย

  1. พื้นที่ส่วนพลาซ่าของอาคารชุด โครงการณุศาศิริ แกรนด์ คอนโด (สุขุมวิท - เอกมัย)
  2. ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโครงการณุศาศิริ สาทร - วงแหวน
  3. ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของ โครงการณุศาศิริ สาทร - ปิ่นเกล้า
  4. ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างของโครงการณุศาศิริ พระราม 2
  5. โครงการบ้านกฤษณา พระราม 5 – กาญจนาภิเษก

โดยชำระเป็นเงินสดไม่เกิน 1,500 ล้านบาท และชำระเป็นหุ้นเพิ่มทุนให้กลุ่ม ณุศาศิริ ไม่เกิน 3,304.38 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 0.35 บาท คิดเป็นมูลค่าไม่เกิน 1,156.53 ล้านบาท และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท อั่งเปา แอสเสท จำกัด (มหาชน) บริษัทได้รับอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์ให้กลับเข้าซื้อขายในหมวดอสังหาริมทรัพย์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2554 และได้เปิดตัวโครงการในนามบริษัทฯ อีก 2 โครงการ ได้แก่

  1. โครงการคอนโดมิเนียม Up Ekamai ถนนเอกมัย
  2. โครงการคอนโดมิเนียม Parc Exo ถนนเกษตร-นวมินทร์

ในปี 2555 ได้เปิดตัวโครงการแนบราบ 1 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว ณ ราธร ถนนสุวินทวงศ์

ในปี 2556 ได้เปิดตัวโครงการสังหาริมทรัพย์ต่างจังหวัด 2 โครงการ โดยมุ่งเน้นการลงทุนไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพและมีความเติบโตของความต้องการที่พักอาศัยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่

  1. โครงการบ้านเดี่ยว Nusa Chivani Pattaya พัทยา จังหวัดชลบุรี
  2. โครงการบ้านเดี่ยวและที่ดินจัดสรร My Ozone เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา บริหารโดยบริษัทย่อยของบริษัท

ปัจจุบันรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อจำหน่ายโดยรับรู้รายได้ จากโครงการที่พัฒนาเสร็จแล้วได้แก่ โครงการ Chivani Pattaya ณุศาศิริพระราม 2 โครงการกฤษณาพระราม 5 โครงการ ณ ราธร โครงการ Parc Exo และโครงการ My Ozone